ประวัติดิโอโก้ โชต้า จากนักเตะตัวสำรองสู่ตัวหลักของทีม
ประวัติดิโอโก้ โชต้า
ชื่อเต็ม : ดิโอโก้ โชต้า (Diogo Jota)
วันเดือนปีเกิด : 4 ธันวาคม 1996
สถานที่เกิด : เมืองปอร์โต้ ประเทศโปรตุเกส
ส่วนสูง : 178 เซ็นติเมตร
ตำแหน่ง : กองหน้า
ดิโอโก้ โชต้า (Diogo Jota)
จากนักเตะตัวสำรองสู่ตัวหลัก
จังหวะและโอกาสนั้นเป็นสิ่งที่ต้องรอให้ถึงเวลาจึงจะได้มันมาโดยที่แทบไม่ต้องพยายามอะไรเลย ในขณะเดียวกันไม่ว่าคุณจะพยายามมากแค่ไหนก็ตามหาจังหวะและโอกาสได้ถูกต้องคุณก็ไม่ได้รับในสิ่งที่ต้องการอยู่ดี เช่นเดียวกับในวงการฟุตบอล มีนักเตะหลายต่อหลายคนที่มีความสามารถ แต่กลับไม่ได้รับโอกาสในการลงสนามเป็นตัวจริง อย่างที่ควรจะเป็นจนสุดท้ายพวกเขาก็ตัดสินใจย้ายออกจากสโมสร เพื่อไปหาความท้าทายใหม่กับสโมสรอื่น แต่ก็มีบางคนเช่นเดียวกัน ที่จังหวะและโอกาสมาทันเวลาพอดีทำให้ได้กลายมาเป็นตัวจริงในที่สุด และนักเตะที่เรากำลังพูดถึงอย่างนี้ก็คือ ดิโอโก้ โชต้า นักเตะกองหน้ามากฝีมือจากลิเวอร์พูลที่ไต่เต้าตั้งแต่ยังไม่ติดตัวสำรอง สู่การเป็นนักเตะตัวจริงได้สำเร็จนั้นเอง
เส้นทางสู่นักบอลอาชีพ
ดิโอโก้ โชต้าเกิดในเมืองปอร์โต้ ประเทศโปรตุเกส มันจึงไม่น่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อยว่าเพราะเหตุใดเขาจึงให้ความสนใจในการเล่นกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก เนื่องจากในเมืองของเขามีสโมสรฟุตบอลที่มีชื่อเสียงในโปรตุเกสรวมไปถึงในระดับโลกอย่าง FC ปอร์โต้นั่นเอง ไม่เพียงเท่านั้นเป็นโชคดีที่ครอบครัวของเขาก็ได้ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดีมาโดยตลอดเพื่อให้ลูกชายได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ทำให้เมื่อมีอายุเพียงแค่ 9 ขวบเขาก็ได้รับโอกาสในการอยู่ใน ACADEMY ของสโมสรขนาดเล็กในโปรตุเกสอย่างกอนโดมาร์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสโมสรยักษ์ใหญ่ในโปรตุเกสอย่าง FC ปอร์โต้
เมื่อมีอายุครบ 13 ปีเขาก็ได้รับโอกาสในการย้ายไปอยู่กับสโมสรปากอส เดอ เฟอร์ไรร่า ซึ่งเป็นสโมสรฟุตบอลที่อยู่ในเมืองปอร์โต้ดังเดิม เป็นสถานที่ที่สามารถพัฒนานักเตะได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะนักเตะในระดับเยาวชน หลังจากย้ายมาอยู่ในสโมสรนี้เขาจึงได้รับโอกาสในการฝึกซ้อมอย่างหนักและพัฒนาฝีมือ จนมีความเก่งกาจโดดเด่นเกินกว่าเพื่อนร่วมรุ่น และมันก็ทำให้เขาจะได้ก้าวมาเป็นหนึ่ง ในนักเตะคนดังระดับยุโรป ในเวลาต่อมา
ในช่วงเวลานั้นเขาได้รับการผลักดันจากสตาฟโค้ชทั้งหลายให้ขึ้นมาอยู่ในทีมชุดใหญ่ของสโมสรตั้งแต่ฤดูกาล 2014 ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวเขามีอายุเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้น การแข่งขันในลีกโปรตุเกส ซุปเปอร์ลีก้าคัพในฤดูกาลแรก เขาก็สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองได้ในทันที ผู้คนในสนามต่างตกตะลึงเมื่อเขาสามารถทำได้ถึง 2 ประตูในการแข่งขันเดียว ด้วยอายุที่ยังไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำไป กลายมาเป็นผู้เล่นที่มีอายุน้อยที่สุดที่สร้างสถิติได้สำเร็จ
ในฤดูกาลต่อมาเขาก็ยังสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงด้วยการสร้างสถิติใหม่อีกครั้งด้วยการทำไป14 ประตูและ 10 แอสซิสต์จากการแข่งขันทุกรายการทำให้เขากลายเป็นนักเตะดาวรุ่งที่หลายสโมสรใหญ่ทั่วยุโรปจับตามองในทันที
เริ่มบทบาทการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
หลังจากที่ได้ชิมลางการเป็นนักเตะตัวจริงในสโมสรดิวิชั่น 2 ในโปรตุเกส เขาก็ได้รับโอกาสในการร่วมกับสโมสรใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมเนื่องจากเป็นสโมสรในลาลีกาสเปนอย่างแอตเลติโก้ มาดริดในปี 2016 แต่น่าเสียดายที่การย้ายไปอยู่ต่างเมืองทำให้เขานั้นต้องเผชิญกับปัญหาในการปรับตัวไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมหรือแม้แต่สไตล์การเล่นก็ตาม มันจึงเปรียบเสมือนกับฝันร้ายที่เขาไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งออกมาได้เลยแม้แต่น้อยจนถึงขั้นที่ไม่อยู่ในแผนการทำทีมต่อไป เขาจึงไม่ได้รับโอกาสในการลงสนามเลยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เจ้าตัวจึงตัดสินใจเดินทางกลับมาอยู่โปรตุเกสอีกครั้งกับสโมสรดิวิชั่น 1 อย่าง FC ปอร์โต้ที่ยืมตัวเขาจากแอตมาดริดกลับมาร่วมทีม ทำให้เขาได้รับโอกาสในการพัฒนาตนเองและลงสนามเหมือนเดิมอีกครั้งซึ่งเป็นสิ่งที่ดีกว่าการเอาอนาคตไปทิ้งในทีมสเปน การกลับมาในครั้งนี้เปรียบเสมือนกับการเกิดใหม่เพราะเขาได้รับโอกาสในการลงสนามอย่างต่อเนื่องและช่วยให้เขาสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างน่าประทับใจ เขาสามารถสร้างสถิติได้มากมายกับสโมสรใหม่ และกลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุด จากโปรตุเกสในสโมสรที่ทำประตูในการแข่งขันยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกได้สำเร็จ
จากโปรตุเกสบินตรงสู่อังกฤษ
แม้ว่า ดิโอโก้ โชต้า จะสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับสโมสรปอร์โต้ จนกลายเป็นที่รักของแฟนบอล จนทำให้หลายคนคาดการณ์ว่า เขาคงจะอยู่กับสโมสรนี้ตลอดไปแต่การเดินทางครั้งใหม่ของเขา ก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ด้วยเอเย่นชื่อดังอย่างจอร์จ เมนเดส ชายผู้เข้ามาดูแลผลประโยชน์ให้กับเขา และใช้เวลาไม่นานในการเกลี้ยกล่อม ให้เขาโบกมือลาโปรตุเกส ย้ายไปอยู่ในอังกฤษแบบสัญญายืมตัว ซึ่งสโมสรที่เขาจะไปเริ่มต้นใหม่ก็คือ วูล์ฟแฮมป์ตัน นั่นเอง
เขาย้ายมาอยู่กับวูฟแฮมตันในยุคสมัยที่สโมสรดังกล่าวอยู่ในลีกดิวิชั่น 2 ของอังกฤษอย่างเดอะ แชมเปียนส์นชิพ ทำให้ชาวโปรตุเกสหลายคนรู้สึกไม่พอใจเนื่องจากมันเปรียบเสมือนกับการลดระดับตัวนักเตะเองและกลัวว่าเขาจะถูกลดความสามารถลงไปด้วย แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยแม้แต่น้อยเพราะเขาสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรง ด้วยการทำไปกว่า 17 ประตู
ด้วยผลงานที่น่าประทับใจทำให้ปี 2020 เขาได้ถูกซื้อตัวโดยสโมสรที่ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมอย่างลิเวอร์พูลนั่นเอง ในช่วงแรกเขาไม่ค่อยมีบทบาทเนื่องจากลิเวอร์พูลมีตั้งเตะกองหน้าที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่ในฤดูกาลนี้เขาได้รับโอกาสในการลงสนามเป็นตัวจริงมากขึ้นและจะมากขึ้นไปอีกในฤดูกาลหน้าหลังจากที่ซาดิโอ มาเน่โบกมือลาลิเวอร์พูลไป
อ่านข่าวเพิ่มเติม :: ข่าวกีฬาออนไลน์
เครดิตโดย :: line@